โกงตายแต่ไม่ตาย 2
หลายปีมาแล้ว ณ เมืองขอนแก่น
เวลาราวๆ หกโมงเย็น หลังจากผู้โดยสารทั้งหมดทะยอยขึ้นมาบนรถครบแล้ว ฝนที่ตั้งเค้าดำทะมึนมาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ลมกระโชกพัดผ้าใบหน้าร้านค้าปลิวสะบัด
เจ้าหน้าที่บริการบนรถทัวร์เริ่มเดินเช็คผู้โดยสารพร้อมแจกอาหารว่าง
"หนูจะไปไหนจ้ะ" ป้าที่นั่งข้างๆ หันมาถามอย่างมีอัธยาศัย
"จะไปลำปางค่ะ แล้วป้าจะไปไหนคะ"
"ป้าจะไปเชียงใหม่ ไปหาลูกชาย ลูกชายป้าทำงานอยู่ที่นู่น" ป้าเล่าอย่างอารมณ์ดี พลางค้นกระเป๋าหาอะไรบางอย่าง
"ป้าต้องหายาเตรียมไว้ก่อน ป้าเป็นเบาหวาน ต้องกินยาเบาหวานทุกวัน" ในขณะที่ป้ากำลังเล่านู่นนี่ไปเรื่อย ก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน เงยหน้าไปมองเบาะที่อยู่แถวเดียวกันอีกฝั่งทางซ้ายมือ เป็นผู้ชายสองคน
"ผมกำลังจะไปลำพูนครับ ไปธุระเรื่องงาน แล้วจะไปพิดโลก ไปธุระหรอครับหรือไปเที่ยว" ชายคนนึงเอ่ย
"อ๋อ ครอบครัวผมอยู่พิดโลกอ่ะครับ เดินทางไปๆ มาๆ เดือนละครั้งสองครั้ง" ชายอีกคนตอบ
ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากเบาะถัดไปข้างหน้า
"หนูกำลังตกงานอ่ะค่ะ กำลังจะกลับบ้านที่อุตรดิตถ์"
หลังจากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น "ลองมาสมัครงานบริษัทพี่มั้ย เป็นพนักงานขาย เค้ากำลังรับเยอะเลย ลองเอาเว็บไซ้ท์ไปดูมั้ย"
"จริงหรอคะพี่ เป็นบริษัทเกี่ยวกับอะไรหรอคะ" เสียงอีกคนตอบกลับมาอย่างสดใส
"เป็นบริษัทขายเครื่องสำอางน่ะ นี่ไงในหนังสือเล่มนี้ก็มี ลองเอาไปดูมั้ย"
"ขอบคุณค่ะพี่"
ณ ตอนนี้รู้สึกว่า คนที่นี่อัธยาศัยดีจัง ภาพบรรยากาศก่อนรถออก ตั้งแต่เริ่มขึ้นไปนั่งบนรถ ผู้คนทะยอยกันขึ้นมา เข้านั่งประจำที่ของตัวเอง เก็บสัมภาระเข้าที่ เจ้าหน้าที่บริการบนรถทัวร์เดินตรวจความเรียบร้อย มันเป็นภาพที่ เหมือนฉากเริ่มต้นในภาพยนตร์ ที่เราไม่ได้มีลางสังหรณ์อะไรบอกเหตุล่วงหน้าเลย ว่าฉากต่อไปหลังจากนั้น มีอะไรรออยู่ นอกจากความรู้สึกกระวนกระวาย อยากรีบออกเดินทางไปให้เร็วที่สุด ใครห้ามยังไงก็ไม่ฟัง
พอฝนเทลงมาได้ไม่นาน ฟ้าทั้งฟ้าก็มืดสนิทไปในบัดดล รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปตามถนนช้าๆ เรานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนยังคงเทกระหน่ำ จนมืดไปทุกทิศ น้ำฝนไหลลงบนกระจกเป็นทาง รู้สึกดีใจที่ได้ออกเดินทางสักที ป้าข้างๆ ยังคงชวนคุยอยู่ตลอดเวลา พอรถออกมาได้สักพักใหญ่เราก็เริ่มเอนเบาะนิดๆ หลับตา แล้วก็หลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จู่ๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ทันทีที่ลืมตาก็รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกมืด ทุกอย่างมืดสนิทไปหมด ได้ยินแต่เสียงคนกรีดร้องระงม รวมทั้งผู้หญิงเบาะหน้าและป้าข้างๆ เมื่อหันไปมองป้า ป้าอยู่ในลักษณะนั่งตัวตรง สองมือเกาะราวจับหลังเบาะด้านหน้าไว้แน่น ส่งเสียงกรีดร้องตลอดเวลา ป้าเหล่มองเรานิดหน่อย เหมือนดีใจที่เราตื่น ด้วยความมึนงงเราใช้เวลาอยู่ครู่นึงกว่าจะรู้สติ กระเด้งตัวขึ้นนั่งตัวตรง สองมือจับราวด้านหน้าแน่น
ด้วยความมืด เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า รู้เพียงแต่ว่า รถทัวร์สองชั้นที่มีผู้โดยสารเต็มคันรถกำลังวิ่งแหวกความมืดด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีการชะลอแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะทางตรง ทางลาดชัน หรือทางเลี้ยว!!
ตลอดเวลาผู้คนยังคงกรีดร้องเซ็งแซ่ น้ำเสียงบ่งบอกความตกใจปนหวาดกลัวอย่างสุดขีด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานประหนึ่งภาพสโลโมชั่น ในขณะที่รถกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วปานแสง ในบางขณะเราพยายามที่จะมองออกไปนอกกระจก แต่ทุกอย่างมืดสนิทตลอดทาง มีเพียงแสงแว้บสาดมาเพียงครั้งเดียวซึ่งด้วยความเร็วของรถไม่สามารถบอกได้เลยว่าคือแสงอะไร
และรู้สึกว่ายิ่งผ่านไปนาน รถยิ่งทะยานเร็วขึ้น เร็วขึ้น ทุกครั้งที่รถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ยิ่งรู้สึกว่ารถเอียงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
รถเอียงมากจนรู้สึกได้ว่า "รถกำลังจะคว่ำ" ในตอนนั้น เริ่มรู้สึกว่า หัวใจจะวาย ทุกครั้งที่รถเอียงเหมือนจะคว่ำให้ได้นั้น รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่าง เพราะมันเอียงมาก เอียงจนคิดว่าอีกนิดเดียวคว่ำแน่นอน ในใจคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว เลยนึกในใจว่า "พ่อ แม่ ลูกขอโทษ ลูกคงไม่ได้กลับไปหาแล้ว" และปากก็พูดออกมาในสิ่งที่เกิดมาไม่เคยพูด และไม่รู้ว่าอะไรทำให้พูดแบบนั้นออกไป คือ "คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย" พูดออกไปเองโดยไม่รู้ตัว พูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น มือที่เคยเกาะราวแน่น ก็แทบจะจับราวไม่อยู่แล้ว ทุกครั้งที่รถเอียงเข้าโค้ง ตัวก็เอียงตามสภาพรถที่เอียงไป และมือก็จะหลุดจากราวแล้ว รู้สึกว่ารถจะหลุดโค้งแล้ว
ตอนนั้น ปล่อยจิตปล่อยใจแล้วว่า ถ้ารถหลุดโค้งก็คงทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองหลุดลอยไป เพราะคงไม่สามารถต้านทานหรือช่วยเหลืออะไรตัวเองได้เลยในสถานการณ์นั้น แต่คิดว่าคงจะหัวใจวายก่อนตั้งแต่รถหลุดโค้งแล้วล่ะ
ขณะที่กำลังขวัญกระเจิงอยู่นั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก รถเอียงไปทางซ้ายอย่างแรงและกระแทก โคร้มมม เสียงดัง เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั้งรถ
.
.
.
รู้สึกตัวอีกทีคือ ไฟในรถเปิดสว่างจ้า รถเอียงกะเท่เร่ แต่เครื่องยนต์ยังไม่ดับ เหมือนรถจะติดอะไรบางอย่าง แต่เครื่องยังเร่งให้รถเดินหน้าต่อทั้งๆ ที่รถยังเอียงอยู่ เสียงคนตะโกนดังให้จอด "จอดๆ พอแล้วๆ"
สักพักเครื่องยนต์จึงดับสนิท แรงกระแทกของตัวรถส่งผลให้ทุกคน ทุกสิ่งอย่างเทกระจาด ระเนระนาด ทุกคนค่อยๆ ยันตัวเองลุกจากพื้นขึ้นยืน มองหน้ากันด้วยความขวัญเสีย แต่ละคนหน้าตาซีดเซียว หายใจหอบ ตกอยู่ในอาการช้อคไม่ต่างกัน
เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนต่างกระเด็นตกจากที่นั่ง ข้าวของสัมภาระหล่นลงมากระจัดกระจาย ป้าที่นั่งข้างๆ กระเด็นลงไปอยู่บนทางเดิน หน้าตาซีดเผือด กระจกรถด้านซ้ายร้าวลึกเป็นทางยาว เศษเล็กเศษน้อยของกระจกกระเด็นเต็มรถ ทั้งบนพื้น ทั้งตามเบาะนั่ง
เรายืนตัวสั่น อ่อนแรงไปทั้งตัว หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อยากลงจากรถให้เร็วที่สุด เพราะมองไม่เห็นเลยว่าตำแหน่งของรถตอนนี้อยู่ตรงไหน ทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกัน ไม่มีใครอยากอยู่บนรถคันนี้ต่อแม่แต่วินาทีเดียว แต่คนขับปฏิเสธที่จะเปิดประตู ทั้งยังบอกว่าข้างนอกนั้นมีช้าง โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ชนช้าง
กระทั่งมีชายคนนึงพูดขึ้นอย่างสุขุมและมีสติมากๆ ว่า "เอาล่ะครับทุกคน ใจเย็นๆ นะครับ ทุกคนตั้งสตินะครับ ในเมื่อเขาไม่ช่วยเรา พวกเราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองกันแล้วครับ"
หลังจากนั้นก็ได้ช่วยกันเปิดประตูฉุกเฉินทางด้านขวา แล้วให้ทุกคนค่อยๆ ทะยอยกันปีนลงไป เมื่อลงจากรถจึงได้เห็นว่า เราอยู่กันกลางภูเขาสูงสองข้างทาง ที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ฝนตกปรอยๆ ฟ้ามีเมฆปกคลุมอยู่เกือบตลอดเวลา แสงจันทร์แทบจะส่องผ่านลงมาไม่ได้ บริเวณที่รถจอดเอียงกะเท่เร่อยู่นั้น คือ จุดที่เพิ่งลงจากเนินมาแล้วเป็นทางราบอีกไม่กี่สิบเมตรข้างหน้าคือทางชันขึ้นเขา
ณ ตอนนั้นรู้สึกอยากโผเข้ากอดใครซักคน รู้สึกน้ำตาจะไหล การเดินทางไกลคนเดียวคือสิ่งที่เราชอบ แต่การเดินทางคนเดียวแล้วเกิดเหตุร้ายแบบนี้ คือ มันเป็นอะไรที่รู้สึกโดดเดี่ยวมากๆ แต่ยังโชคดีที่ผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันในเที่ยวนี้มีน้ำใจต่อกันดี แค่ได้ถามไถ่กัน เห็นอกเห็นใจกัน ก็ทำให้คลายความกังวล ความตื่นตระหนกลงได้มาก เราเห็นผู้หญิงสองคนแถวหน้าที่พูดคุยกันมาระหว่างทางอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
เราพยายามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีที่ลงจากรถ แต่อยู่ในจุดที่อับสัญญาณมาก ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย เราทุกคนต่างหอบหิ้วสัมภาระเดินมุ่งหน้าขึ้นเนินเพื่อความปลอดภัย แล้วนั่งกันอยู่ริมถนนรอรถคันใหม่มารับ เวลานั้นเป็นเวลาราวห้าทุ่มแล้ว ฝนก็ตกปรอยๆ ไม่หยุด ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเย็น ระหว่างที่นั่งรออยู่ริมถนนก็มองกลับไปที่รถ ในใจก็คิดว่า เรายังโชคดีอยู่มาก โชคดีที่ไม่เจ็บตัว แต่บางคนก็โชคร้าย มีคุณแม่คนนึงเดินทางมากับสามีและลูกตัวเล็กๆ และมีอีกคนอยู่ในท้อง เธอนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวรถซึ่งกระแทกเข้ากับข้างทางเต็มๆ ตัวเธอพยายามที่จะกอดลูกน้อยเอาไว้โดยเอาตัวเองบัง จนตัวเองโดนกระแทก และมีอาการเจ็บท้อง ในขณะที่สามีโดนกระจกบาด
คนเจ็บถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล บางคนติดต่อให้ญาติมารับและเดินทางกลับ ไม่เดินทางต่อ
แต่เราติดต่อใครไม่ได้ และเลือกที่จะรอเดินทางต่อ จนในที่สุดเราฝืนความง่วงและความหนาวไม่ไหว ต้องกลับขึ้นไปนอนบนรถ กับอีกหลายๆ คน กระทั่งราวตี 3 จึงมีรถคันใหม่มาเปลี่ยน
รถคันนี้ขับเร็วไม่ต่างจากคันเก่าตอนก่อนจะเสียหลักลงข้างทางเลย หรือเป็นเพราะเราพึ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกมาเลยยังหวาดๆ ก็ไม่รู้แน่ แต่ทุกครั้งที่รถเลี้ยวด้วยความเร็ว ก็มีเสียงผู้โดยสารคนอื่นส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัวอยู่เป็นระยะ แปลว่าเราไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
การเดินทางต่อจากนั้น ฝนตกตลอดทาง เราลืมตาโพลงตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ง่วง แต่ไม่กล้าหลับตาลงจริงๆ พยายามฝืนตัวเองให้ตื่นไว้ เพราะเส้นทางคดเคี้ยว เลี้ยวเลาะ และรถที่วิ่งด้วยความเร็วในความมืด มันทำให้รู้สึกกลัวจนเกร็งไปหมด และเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง บางเส้นทางเราก็จะรถบรรทุก รถพ่วง ตกอยู่ข้างทางบ้าง เราได้แต่มองผ่านทางกระจก ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายแว้บเข้ามาในหัว แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าหากนั่นคือรถที่เรานั่งมาเมื่อคืนล่ะ ไม่อยากจะคิด นี่เราโชคดีมากเลยนะเนี่ย แต่บางครั้งก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ว่าไม่ได้ฝัน ที่มานั่งอยู่ตรงนี้
กว่าจะถึงปลายทางก็เลยกำหนดเวลาไปหลายชั่วโมง เป็นการเดินทาางที่ยาวนาน และสะพรึงไม่รู้ลืม
หลังจากนั้นก็เลยกลายเป็นคนกลัวการนั่งรถทัวร์ และไม่กล้าหลับบนรถทัวร์อีกเลย ต้องใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าความกลัวจะค่อยๆ จาง แต่ทุกครั้งที่เห็นภาพ หรือข่าวอุบัติเหตุรถทัวร์เสียหลักลงข้างทาง หรือตกเหว ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นก็จะแว้บกลับมา และนึกถึงความหวาดกลัวขึ้นมาทุกที เป็นความรู้สึกสะเทือนใจมากๆ เวลาต้องเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น เข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่บนรถ ถึงแม้เราจะเคยประสบมาแค่เพียงเสี้ยวเดียว และรู้สึกเสียใจกับครอบครัวของคนที่อยู่บนรถทุกคน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เราและทุกคนบนรถยังโชคดีที่ไม่มีความสูญเสีย แต่ก็ยังมีอีกมากที่เกิดการสูญเสียบนเส้นทางสายนี้ ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย ไม่อยากให้มีใครต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้
ก่อนเดินทางไปยังเส้นทางสายนี้ อยากให้ทุกคนเช็คข้อมูลการเดินทางดีๆ นะคะ เลือกบริษัทเดินรถที่เชื่อถือได้ อย่างน้อยต้องไม่ใช่บริษัทที่เคยมีข่าวการสูญเสียทำนองนี้มาก่อน ลองหาข้อมูลใน google ก่อนจองตั๋วนะคะ หาไม่ยาก เพราะเชื่อว่า ถ้าเคยเกิดขึ้นครั้งแรก ก็มักจะมีครั้งต่อๆ ไปค่ะ และเราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม หากเลือกที่นั่งได้ให้วิเคราะห์ดีๆ ว่านั่งส่วนไหนน่าจะปลอดภัยที่สุด ที่สามารถบอกได้อย่างนึงคือ ให้นั่งฝั่งเดียวกับคนขับค่ะ อีกอย่างคือ ขึ้นรถแล้วต้องรัดเข็มขัด อย่างน้อยถ้ารถเสียหลักลงข้างทางเราไม่หลุดจากเบาะแน่ และต้องมีสติอยู่เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ขออย่าให้มีการสูญเสียหรือเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกเลยนะคะ
The end
ไม่มีภาคต่อ
ตต.
เวลาราวๆ หกโมงเย็น หลังจากผู้โดยสารทั้งหมดทะยอยขึ้นมาบนรถครบแล้ว ฝนที่ตั้งเค้าดำทะมึนมาตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ลมกระโชกพัดผ้าใบหน้าร้านค้าปลิวสะบัด
เจ้าหน้าที่บริการบนรถทัวร์เริ่มเดินเช็คผู้โดยสารพร้อมแจกอาหารว่าง
"หนูจะไปไหนจ้ะ" ป้าที่นั่งข้างๆ หันมาถามอย่างมีอัธยาศัย
"จะไปลำปางค่ะ แล้วป้าจะไปไหนคะ"
"ป้าจะไปเชียงใหม่ ไปหาลูกชาย ลูกชายป้าทำงานอยู่ที่นู่น" ป้าเล่าอย่างอารมณ์ดี พลางค้นกระเป๋าหาอะไรบางอย่าง
"ป้าต้องหายาเตรียมไว้ก่อน ป้าเป็นเบาหวาน ต้องกินยาเบาหวานทุกวัน" ในขณะที่ป้ากำลังเล่านู่นนี่ไปเรื่อย ก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน เงยหน้าไปมองเบาะที่อยู่แถวเดียวกันอีกฝั่งทางซ้ายมือ เป็นผู้ชายสองคน
"ผมกำลังจะไปลำพูนครับ ไปธุระเรื่องงาน แล้วจะไปพิดโลก ไปธุระหรอครับหรือไปเที่ยว" ชายคนนึงเอ่ย
"อ๋อ ครอบครัวผมอยู่พิดโลกอ่ะครับ เดินทางไปๆ มาๆ เดือนละครั้งสองครั้ง" ชายอีกคนตอบ
ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากเบาะถัดไปข้างหน้า
"หนูกำลังตกงานอ่ะค่ะ กำลังจะกลับบ้านที่อุตรดิตถ์"
หลังจากนั้นก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น "ลองมาสมัครงานบริษัทพี่มั้ย เป็นพนักงานขาย เค้ากำลังรับเยอะเลย ลองเอาเว็บไซ้ท์ไปดูมั้ย"
"จริงหรอคะพี่ เป็นบริษัทเกี่ยวกับอะไรหรอคะ" เสียงอีกคนตอบกลับมาอย่างสดใส
"เป็นบริษัทขายเครื่องสำอางน่ะ นี่ไงในหนังสือเล่มนี้ก็มี ลองเอาไปดูมั้ย"
"ขอบคุณค่ะพี่"
ณ ตอนนี้รู้สึกว่า คนที่นี่อัธยาศัยดีจัง ภาพบรรยากาศก่อนรถออก ตั้งแต่เริ่มขึ้นไปนั่งบนรถ ผู้คนทะยอยกันขึ้นมา เข้านั่งประจำที่ของตัวเอง เก็บสัมภาระเข้าที่ เจ้าหน้าที่บริการบนรถทัวร์เดินตรวจความเรียบร้อย มันเป็นภาพที่ เหมือนฉากเริ่มต้นในภาพยนตร์ ที่เราไม่ได้มีลางสังหรณ์อะไรบอกเหตุล่วงหน้าเลย ว่าฉากต่อไปหลังจากนั้น มีอะไรรออยู่ นอกจากความรู้สึกกระวนกระวาย อยากรีบออกเดินทางไปให้เร็วที่สุด ใครห้ามยังไงก็ไม่ฟัง
พอฝนเทลงมาได้ไม่นาน ฟ้าทั้งฟ้าก็มืดสนิทไปในบัดดล รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปตามถนนช้าๆ เรานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนยังคงเทกระหน่ำ จนมืดไปทุกทิศ น้ำฝนไหลลงบนกระจกเป็นทาง รู้สึกดีใจที่ได้ออกเดินทางสักที ป้าข้างๆ ยังคงชวนคุยอยู่ตลอดเวลา พอรถออกมาได้สักพักใหญ่เราก็เริ่มเอนเบาะนิดๆ หลับตา แล้วก็หลับไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่จู่ๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ทันทีที่ลืมตาก็รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกมืด ทุกอย่างมืดสนิทไปหมด ได้ยินแต่เสียงคนกรีดร้องระงม รวมทั้งผู้หญิงเบาะหน้าและป้าข้างๆ เมื่อหันไปมองป้า ป้าอยู่ในลักษณะนั่งตัวตรง สองมือเกาะราวจับหลังเบาะด้านหน้าไว้แน่น ส่งเสียงกรีดร้องตลอดเวลา ป้าเหล่มองเรานิดหน่อย เหมือนดีใจที่เราตื่น ด้วยความมึนงงเราใช้เวลาอยู่ครู่นึงกว่าจะรู้สติ กระเด้งตัวขึ้นนั่งตัวตรง สองมือจับราวด้านหน้าแน่น
ด้วยความมืด เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า รู้เพียงแต่ว่า รถทัวร์สองชั้นที่มีผู้โดยสารเต็มคันรถกำลังวิ่งแหวกความมืดด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีการชะลอแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะทางตรง ทางลาดชัน หรือทางเลี้ยว!!
ตลอดเวลาผู้คนยังคงกรีดร้องเซ็งแซ่ น้ำเสียงบ่งบอกความตกใจปนหวาดกลัวอย่างสุดขีด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานประหนึ่งภาพสโลโมชั่น ในขณะที่รถกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วปานแสง ในบางขณะเราพยายามที่จะมองออกไปนอกกระจก แต่ทุกอย่างมืดสนิทตลอดทาง มีเพียงแสงแว้บสาดมาเพียงครั้งเดียวซึ่งด้วยความเร็วของรถไม่สามารถบอกได้เลยว่าคือแสงอะไร
และรู้สึกว่ายิ่งผ่านไปนาน รถยิ่งทะยานเร็วขึ้น เร็วขึ้น ทุกครั้งที่รถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ยิ่งรู้สึกว่ารถเอียงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
รถเอียงมากจนรู้สึกได้ว่า "รถกำลังจะคว่ำ" ในตอนนั้น เริ่มรู้สึกว่า หัวใจจะวาย ทุกครั้งที่รถเอียงเหมือนจะคว่ำให้ได้นั้น รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่าง เพราะมันเอียงมาก เอียงจนคิดว่าอีกนิดเดียวคว่ำแน่นอน ในใจคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว เลยนึกในใจว่า "พ่อ แม่ ลูกขอโทษ ลูกคงไม่ได้กลับไปหาแล้ว" และปากก็พูดออกมาในสิ่งที่เกิดมาไม่เคยพูด และไม่รู้ว่าอะไรทำให้พูดแบบนั้นออกไป คือ "คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย" พูดออกไปเองโดยไม่รู้ตัว พูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น มือที่เคยเกาะราวแน่น ก็แทบจะจับราวไม่อยู่แล้ว ทุกครั้งที่รถเอียงเข้าโค้ง ตัวก็เอียงตามสภาพรถที่เอียงไป และมือก็จะหลุดจากราวแล้ว รู้สึกว่ารถจะหลุดโค้งแล้ว
ตอนนั้น ปล่อยจิตปล่อยใจแล้วว่า ถ้ารถหลุดโค้งก็คงทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองหลุดลอยไป เพราะคงไม่สามารถต้านทานหรือช่วยเหลืออะไรตัวเองได้เลยในสถานการณ์นั้น แต่คิดว่าคงจะหัวใจวายก่อนตั้งแต่รถหลุดโค้งแล้วล่ะ
ขณะที่กำลังขวัญกระเจิงอยู่นั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก รถเอียงไปทางซ้ายอย่างแรงและกระแทก โคร้มมม เสียงดัง เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั้งรถ
.
.
.
รู้สึกตัวอีกทีคือ ไฟในรถเปิดสว่างจ้า รถเอียงกะเท่เร่ แต่เครื่องยนต์ยังไม่ดับ เหมือนรถจะติดอะไรบางอย่าง แต่เครื่องยังเร่งให้รถเดินหน้าต่อทั้งๆ ที่รถยังเอียงอยู่ เสียงคนตะโกนดังให้จอด "จอดๆ พอแล้วๆ"
สักพักเครื่องยนต์จึงดับสนิท แรงกระแทกของตัวรถส่งผลให้ทุกคน ทุกสิ่งอย่างเทกระจาด ระเนระนาด ทุกคนค่อยๆ ยันตัวเองลุกจากพื้นขึ้นยืน มองหน้ากันด้วยความขวัญเสีย แต่ละคนหน้าตาซีดเซียว หายใจหอบ ตกอยู่ในอาการช้อคไม่ต่างกัน
เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนต่างกระเด็นตกจากที่นั่ง ข้าวของสัมภาระหล่นลงมากระจัดกระจาย ป้าที่นั่งข้างๆ กระเด็นลงไปอยู่บนทางเดิน หน้าตาซีดเผือด กระจกรถด้านซ้ายร้าวลึกเป็นทางยาว เศษเล็กเศษน้อยของกระจกกระเด็นเต็มรถ ทั้งบนพื้น ทั้งตามเบาะนั่ง
เรายืนตัวสั่น อ่อนแรงไปทั้งตัว หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อยากลงจากรถให้เร็วที่สุด เพราะมองไม่เห็นเลยว่าตำแหน่งของรถตอนนี้อยู่ตรงไหน ทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกัน ไม่มีใครอยากอยู่บนรถคันนี้ต่อแม่แต่วินาทีเดียว แต่คนขับปฏิเสธที่จะเปิดประตู ทั้งยังบอกว่าข้างนอกนั้นมีช้าง โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ชนช้าง
กระทั่งมีชายคนนึงพูดขึ้นอย่างสุขุมและมีสติมากๆ ว่า "เอาล่ะครับทุกคน ใจเย็นๆ นะครับ ทุกคนตั้งสตินะครับ ในเมื่อเขาไม่ช่วยเรา พวกเราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองกันแล้วครับ"
หลังจากนั้นก็ได้ช่วยกันเปิดประตูฉุกเฉินทางด้านขวา แล้วให้ทุกคนค่อยๆ ทะยอยกันปีนลงไป เมื่อลงจากรถจึงได้เห็นว่า เราอยู่กันกลางภูเขาสูงสองข้างทาง ที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ฝนตกปรอยๆ ฟ้ามีเมฆปกคลุมอยู่เกือบตลอดเวลา แสงจันทร์แทบจะส่องผ่านลงมาไม่ได้ บริเวณที่รถจอดเอียงกะเท่เร่อยู่นั้น คือ จุดที่เพิ่งลงจากเนินมาแล้วเป็นทางราบอีกไม่กี่สิบเมตรข้างหน้าคือทางชันขึ้นเขา
ณ ตอนนั้นรู้สึกอยากโผเข้ากอดใครซักคน รู้สึกน้ำตาจะไหล การเดินทางไกลคนเดียวคือสิ่งที่เราชอบ แต่การเดินทางคนเดียวแล้วเกิดเหตุร้ายแบบนี้ คือ มันเป็นอะไรที่รู้สึกโดดเดี่ยวมากๆ แต่ยังโชคดีที่ผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันในเที่ยวนี้มีน้ำใจต่อกันดี แค่ได้ถามไถ่กัน เห็นอกเห็นใจกัน ก็ทำให้คลายความกังวล ความตื่นตระหนกลงได้มาก เราเห็นผู้หญิงสองคนแถวหน้าที่พูดคุยกันมาระหว่างทางอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
เราพยายามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีที่ลงจากรถ แต่อยู่ในจุดที่อับสัญญาณมาก ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย เราทุกคนต่างหอบหิ้วสัมภาระเดินมุ่งหน้าขึ้นเนินเพื่อความปลอดภัย แล้วนั่งกันอยู่ริมถนนรอรถคันใหม่มารับ เวลานั้นเป็นเวลาราวห้าทุ่มแล้ว ฝนก็ตกปรอยๆ ไม่หยุด ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเย็น ระหว่างที่นั่งรออยู่ริมถนนก็มองกลับไปที่รถ ในใจก็คิดว่า เรายังโชคดีอยู่มาก โชคดีที่ไม่เจ็บตัว แต่บางคนก็โชคร้าย มีคุณแม่คนนึงเดินทางมากับสามีและลูกตัวเล็กๆ และมีอีกคนอยู่ในท้อง เธอนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวรถซึ่งกระแทกเข้ากับข้างทางเต็มๆ ตัวเธอพยายามที่จะกอดลูกน้อยเอาไว้โดยเอาตัวเองบัง จนตัวเองโดนกระแทก และมีอาการเจ็บท้อง ในขณะที่สามีโดนกระจกบาด
คนเจ็บถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล บางคนติดต่อให้ญาติมารับและเดินทางกลับ ไม่เดินทางต่อ
แต่เราติดต่อใครไม่ได้ และเลือกที่จะรอเดินทางต่อ จนในที่สุดเราฝืนความง่วงและความหนาวไม่ไหว ต้องกลับขึ้นไปนอนบนรถ กับอีกหลายๆ คน กระทั่งราวตี 3 จึงมีรถคันใหม่มาเปลี่ยน
รถคันนี้ขับเร็วไม่ต่างจากคันเก่าตอนก่อนจะเสียหลักลงข้างทางเลย หรือเป็นเพราะเราพึ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกมาเลยยังหวาดๆ ก็ไม่รู้แน่ แต่ทุกครั้งที่รถเลี้ยวด้วยความเร็ว ก็มีเสียงผู้โดยสารคนอื่นส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัวอยู่เป็นระยะ แปลว่าเราไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
การเดินทางต่อจากนั้น ฝนตกตลอดทาง เราลืมตาโพลงตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ง่วง แต่ไม่กล้าหลับตาลงจริงๆ พยายามฝืนตัวเองให้ตื่นไว้ เพราะเส้นทางคดเคี้ยว เลี้ยวเลาะ และรถที่วิ่งด้วยความเร็วในความมืด มันทำให้รู้สึกกลัวจนเกร็งไปหมด และเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง บางเส้นทางเราก็จะรถบรรทุก รถพ่วง ตกอยู่ข้างทางบ้าง เราได้แต่มองผ่านทางกระจก ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายแว้บเข้ามาในหัว แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าหากนั่นคือรถที่เรานั่งมาเมื่อคืนล่ะ ไม่อยากจะคิด นี่เราโชคดีมากเลยนะเนี่ย แต่บางครั้งก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ว่าไม่ได้ฝัน ที่มานั่งอยู่ตรงนี้
กว่าจะถึงปลายทางก็เลยกำหนดเวลาไปหลายชั่วโมง เป็นการเดินทาางที่ยาวนาน และสะพรึงไม่รู้ลืม
หลังจากนั้นก็เลยกลายเป็นคนกลัวการนั่งรถทัวร์ และไม่กล้าหลับบนรถทัวร์อีกเลย ต้องใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าความกลัวจะค่อยๆ จาง แต่ทุกครั้งที่เห็นภาพ หรือข่าวอุบัติเหตุรถทัวร์เสียหลักลงข้างทาง หรือตกเหว ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นก็จะแว้บกลับมา และนึกถึงความหวาดกลัวขึ้นมาทุกที เป็นความรู้สึกสะเทือนใจมากๆ เวลาต้องเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น เข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่บนรถ ถึงแม้เราจะเคยประสบมาแค่เพียงเสี้ยวเดียว และรู้สึกเสียใจกับครอบครัวของคนที่อยู่บนรถทุกคน
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เราและทุกคนบนรถยังโชคดีที่ไม่มีความสูญเสีย แต่ก็ยังมีอีกมากที่เกิดการสูญเสียบนเส้นทางสายนี้ ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย ไม่อยากให้มีใครต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้
ก่อนเดินทางไปยังเส้นทางสายนี้ อยากให้ทุกคนเช็คข้อมูลการเดินทางดีๆ นะคะ เลือกบริษัทเดินรถที่เชื่อถือได้ อย่างน้อยต้องไม่ใช่บริษัทที่เคยมีข่าวการสูญเสียทำนองนี้มาก่อน ลองหาข้อมูลใน google ก่อนจองตั๋วนะคะ หาไม่ยาก เพราะเชื่อว่า ถ้าเคยเกิดขึ้นครั้งแรก ก็มักจะมีครั้งต่อๆ ไปค่ะ และเราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม หากเลือกที่นั่งได้ให้วิเคราะห์ดีๆ ว่านั่งส่วนไหนน่าจะปลอดภัยที่สุด ที่สามารถบอกได้อย่างนึงคือ ให้นั่งฝั่งเดียวกับคนขับค่ะ อีกอย่างคือ ขึ้นรถแล้วต้องรัดเข็มขัด อย่างน้อยถ้ารถเสียหลักลงข้างทางเราไม่หลุดจากเบาะแน่ และต้องมีสติอยู่เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ขออย่าให้มีการสูญเสียหรือเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกเลยนะคะ
The end
ไม่มีภาคต่อ
ตต.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น