วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 19.00
เรานั่งอยู่หน้าจอ
รอฟังประกาศจากสำนักพระราชวัง พร้อมๆ กับคนไทยทั้งประเทศ
ระหว่างที่รอ
เราคุยกับเพื่อนคนนึงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เราบอกกับเพื่อนคือ ไม่มีอะไรหรอก
ในหลวงไม่เป็นอะไร คงแค่ประกาศอาการประชวรของในหลวงตามปกติ ถึงแม้จะมีข่าวลือร้ายๆ
ออกมามากมายในวัน 2 วันนี้ก็ตาม
เราพยายามบอกเพื่อนไม่ให้คิดมาก
พยายามบอกเพื่อนให้มองโลกในแง่ดี และไม่หลงเชื่อข่าวลือ
และยังรู้สึกโกรธและอารมณ์เสียให้กับคนที่พยายามออกมาแพร่ข่าวร้ายต่างๆ
ให้คนไทยขวัญเสียอยู่ตลอดเวลา
และแล้วเมื่อถึงเวลา
ผู้ประกาศข่าวชายและหญิงอ่านข่าวจบ ผู้ประกาศข่าวหญิงท่านนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นประมาณว่า
“คุณผู้ชมคะ มีประกาศจากทางสำนักพระราชวัง” ระหว่างที่กล่าวนั้น
เธอก้มหน้า เสียงสั่น เหมือนคนร้องไห้ และก็หยุดพูดไป
เราอึ้ง
ยังไม่ทันได้คิดหรือทำอะไรต่อไป ก็ตัดเข้าประกาศจากทางสำนักพระราชวัง
โดยผู้ประกาศได้ประกาศว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี
จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต”
เหมือนฟ้าผ่า
ทุกอย่างหยุดนิ่ง เราช็อก!
วันสองวันมานี้
เราพยายามที่จะไม่เชื่อข่าวลือที่ออกมา เราพยายามบอกคนใกล้ตัวว่าให้รอฟังจากทางสำนักพระราชวังเท่านั้น
เราพยายามคิดมาตลอดว่ามันเป็นแค่ “ข่าวลือ” เราเชื่อตลอดเวลาว่า ในหลวงทรงพระประชวร และก็จะหายดีเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ผู้ประกาศยังคงอ่านประกาศต่อไป
แต่เหมือนหูเราอื้อ ไม่ได้ยินอะไรเสียแล้ว และยังพยายามคิดว่ามันไม่จริง
แล้วไม่นานจากนั้น เราก็ปล่อยโฮออกมาแบบที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ความคิดหลุดลอย
ทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เราเริ่มจมดิ่งกับความโศกเศร้า เราอ่านบทความที่เกี่ยวกับพระองค์ท่าน
ดูพระบรมฉายาลักษณ์ ดูคลิปต่างๆ ที่สื่อต่างๆ นำมาลงในโซเชียล ดูรายการทางทีวีต่างๆ
ที่นำเสนอพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ท่าน น้ำตาก็ไหลออกมาตลอดเวลา
เรานอนไม่หลับติดกันหลายๆ คืน
ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้า
เดี๋ยวน้ำตาไหล เดี๋ยวซึม เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวหัวเราะ
แล้วก็กลับมาซึมอีก วนอยู่อย่างนั้น บางเรื่องราว บางคลิปของพระองค์ท่านทำให้เรายิ้มได้
และบางครั้งก็เป็นยิ้มที่มากับน้ำตา ถึงจะมีเรื่องที่ทำให้ยิ้ม ทำให้หัวเราะ
ก็เป็นยิ้มและหัวเราะที่ไม่สุด
รู้สึกชีวิตมันไร้ที่ยึดเหนี่ยว
เหมือนชีวิตขาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง ต้องใช้ชีวิตยังไงต่อไป
จนวันนึง
ก็มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในชีวิต จนคิดว่า อยากตาย ไม่อยากอยู่แล้ว
คิดหาวิธีตายที่ไม่ทรมาน วางแผนที่จะตายโดยไม่สนใจอะไรหรือใครอีกแล้ว
แต่แล้วก็ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย
มีบางอย่างทำให้เราได้สติ เราพยายามบอกกับตัวเองว่า เราจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
เราเลิกดูทีวี
เลิกดูพระราชกรณียกิจ เลิกอ่านบทความที่ทำให้ร้องไห้
พยายามดูแต่สิ่งที่จะทำให้ระลึกถึงพระองค์ท่านในทางที่จะทำให้จิตใจรู้สึกสดชื่น
แจ่มใส รำลึกถึงแต่พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยมาตลอดพระชนม์ชีพ
และบอกตัวเองว่าพระองค์ท่านทรงเหนื่อยเพื่อผู้อื่นมามากแล้ว
ถึงเวลาที่พระองค์ท่านจะได้พักผ่อนไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป
ถึงวันนี้จะไม่ได้ซึมเศร้า
นั่งร้องไห้หน้าทีวี หน้าโทรศัพท์ แต่ก็มีบางครั้งที่มันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เวลาได้ยินใครพูดถึงพระองค์ท่าน หรือฟังเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระองค์ท่าน และได้เห็นประชาชนคนไทยต่างร่วมใจกันทำสิ่งดีๆ
ต่างๆ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
มันเป็นน้ำตาแห่งความปีติและซาบซึ้ง
มากกว่าจะเป็นความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจอย่างในวันแรกๆ
วันนี้
เราได้คิดว่า ชีวิตมันควรจะดำเนินต่อไป ทำหน้าที่ของเราต่อไปให้ดีที่สุด
น้อมนำพระราชดำรัสมาใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณตราบชั่วชีวิต
จิตใจของคนเราเข้มแข็งไม่เท่ากัน
ถ้ารู้ว่าเป็นคนอ่อนไหว สภาวะจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ก็ต้องรู้จักที่จะรู้เท่าทันความคิดและสภาพจิตใจของตัวเอง
ต้องมีสติอยู่กับตัว หาความบันเทิงให้ตัวเองบ้าง เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้ อย่าลืมว่าเรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ
เชื่อว่าพระองค์ท่านอยากเห็นประชาชนคนไทยรักกัน
สามัคคีกัน ช่วยกันขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศนี้ต่อไป
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
“คิดถึงในหลวง”
29.10.16
**หากมีคำพูดใดๆ ที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมต้องขอประทานอภัยไว้ ณ ที่นี้**
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น